ออโต้คาร์.com
  • หน้าแรก
  • ข่าวอัพเดต
  • บทความแนะนำ
  • การดูแลรถ
  • การเลือกซื้อรถ
  • รถมือสอง
  • รีวิวรถ
Category:

บทความแนะนำ

บทความแนะนำ

การเช็กใบสั่งออนไลน์ จริงหรือปลอมเป็นอย่างไร

by autocar 28 มีนาคม 2023
written by autocar
การเช็กใบสั่งออนไลน์

การเช็กใบสั่งออนไลน์ จริงหรือปลอมเป็นอย่างไร

การเช็กใบสั่งออนไลน์ จริงหรือปลอมเป็นอย่างไร เพราะวิธีการเช็กสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเองก่อนจ่ายค่าปรับ หากไม่แน่ใจว่าใบสั่งที่ได้มานั้นเป็นของจริงหรือของปลอมโดยแก๊งมิจฉาชีพ ใครที่ยังไม่เคยโดนใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ (e-Ticket) จะมีหน้าตาจะออกมาเป็นสลิปคล้ายใบเสร็จตามห้างสรรพสินค้า ดังนั้นวันนี้ออโต้คาร์เราจะมานำเสนอวิธีการเช็กกัน

ใบสั่งออนไลน์ปลอมจริงตรวจสอบอย่างไร

เพราะใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์หรือใบสั่งออนไลน์ จะมี QR Code ด้านล่างขวา โดยจะระบุข้อความข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้สามารถสแกนตรวจสอบใบสั่งของตัวเองผ่านเว็บไซต์ ptm.police.go.th เท่านั้น ดังนั้นก็ต้องลงทะเบียนการใช้งานก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อหากไม่แน่ใจก็ให้เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์โดยตรง ไม่ต้องสแกนจากนั้นแล้วลงทะเบียนและตรวจสอบข้อมูล

อีกหนึ่งจุดต้องสังเกต คือ วิธีการสแกนชำระเงินผ่าน QR Code ด้านซ้ายด้วย Mobile Banking จะขึ้นชื่อผู้รับโอน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-ค่าปรับจราจร” เท่านั้น โดยยอดค่าปรับจะต้องแสดงตรงตามใบสั่งที่ไม่สามารถแก้ไขยอดได้

  • ใบสั่งจราจรมีอยู่ 3 รูปแบบ ได้แก่ ใบสั่งชนิดเขียนด้วยลายมือ, ใบสั่งส่งทางไปรษณีย์ (ตรวจจับด้วยกล้อง), ใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์ (ใบสั่งออนไลน์ หรือ e-Ticket)

ใบสั่งออนไลน์คืออะไร

เป็นการออกใบสั่งผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่มีหลายรูปแบบ มีทั้งหน้าตาคล้ายเครื่องรูดบัตรเครดิตรุ่นใหม่และสมาร์ทโฟน โดยอุปกรณ์เหล่านี้ติดตั้งแอปพลิเคชัน Police Ticket Management (PTM) เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถออก และพิมพ์ใบสั่งจากตัวเครื่องได้ทันทีที่พบเห็นผู้กระทำผิดซึ่งหน้า

ใบสั่งออนไลน์จริงนั้นจะต้องมีข้อมูล ได้แก่ มีเลขที่ใบสั่ง เลขทะเบียนและประเภทรถ ข้อหาการกระทำผิด จำนวนค่าปรับตามเกณฑ์ที่กำหนด ระยะเวลาในการชำระค่าปรับ สถานที่กระทำผิด วันที่ เวลา หน่วยงาน และชื่อเจ้าหน้าที่ที่ออกใบสั่ง ไว้อย่างครบถ้วนชัดเจน หรืออาจรวมข้อมูลใบขับขี่กรณีพบตัวผู้กระทำผิด

สุดท้ายข้อมูลด้านล่างสุดของใบสั่งอิเล็กทรอนิกส์จะมี QR Code เพื่อเป็นการชำระค่าปรับผ่านระบบ Mobile Banking ที่อยู่ฝั่งซ้าย เพื่อเพิ่มความสะดวก ส่วนด้านขวาเป็น QR Code ข้อมูลเพิ่มเติม เอาไว้เพื่อสำหรับสแกนตรวจสอบใบสั่งออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ ptm.police.go.th เท่านั้น

ใบสั่งออนไลน์จ่ายที่ไหนได้บ้าง

  1. สามารถสแกน QR Code ท้ายใบสั่งด้วย Mobile Banking จะระบุว่าชำระแก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ-ค่าปรับจราจร เท่านั้น
  2. แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาติดตั้งบนสมาร์ทโฟนก่อน
  3. แอปพลิเคชัน เป๋าตัง (ต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชันมาติดตั้งบนสมาร์ทโฟนก่อน)
  4. ที่ทำการไปรษณีย์ไทย (มีค่าธรรมเนียมต่อรายการ 15 บาท)
  5. ตู้ ATM และตู้รับฝากเงินสด ADM (มีค่าธรรมเนียมต่อรายการ 15 บาท)
  6. จุดชำระเงิน CenPay เช่น ที่ห้าง Central, ห้าง Robinson, แฟมิลี่มาร์ท, Tops, ร้าน B2S, Power Buy, Super Sports, HomeWork และไทวัสดุ เป็นต้น (มีค่าธรรมเนียมต่อรายการ 15 บาท)
  7. ตู้บุญเติม (มีค่าธรรมเนียมต่อรายการ 20 บาท)
  8. สาขาทุกธนาคาร (มีค่าธรรมเนียมต่อรายการ 20 บาท)
  9. สถานที่ที่มีสัญลักษณ์ PTM ชำระค่าปรับจราจร

สรุป

สำหรับผู้ขับขี่รถทุกประเภทควรปฏิบัติตามกฎจราจร เมื่อโดนใบสั่งไม่ว่าจะรูปแบบใดก็ตาม ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราได้กระทำผิดจริงหรือไม่ เป็นใบสั่งออนไลน์ปลอมหรือของจริงก่อนชำระค่าปรับทุกครั้ง

28 มีนาคม 2023 0 comment 313 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

อัพเดตค่าจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ปี 2566

by autocar 24 มีนาคม 2023
written by autocar
สนามบินสุวรรณภูมิ

อัพเดตค่าจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ปี 2566

อัพเดตค่าจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ปี 2566 ต้องจ่ายเท่าไร ชั่วโมงละกี่บาท และสามารถจอดฟรีได้ไหม วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลค่าจอดรถสนามบินมาให้แล้ว ทั้งอัตราแบบจอดรายชั่วโมงและแบบจอดค้างคืน ตามมาดูกับออโต้คาร์ได้เลยค่ะ

ค่าจอดรถสนามบิน ปี 2566 ต้องจ่ายเท่าไร รายชั่วโมงคิดกี่บาท

  • สนามบินสุวรรณภูมิ มีที่จอดรถบริเวณไหนบ้าง
  1. อาคารจอดโซน 2 และ 3 ที่มีทางเชื่อมต่อไปยังอาคารผู้โดยสาร ชั้น 3 (ประตู 3 และ 8)
  2. ลานจอดกลางแจ้ง (จะเป็นโซน 4) ด้านข้างของอาคารจอดรถโซน 3
  3. ลานจอดกลางแจ้ง (จะเป็นโซน 5) บริเวณด้านข้างโรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ
  4. ลานจอดกลางแจ้ง (จะเป็นโซน 6 และ 7) บริเวณด้านหน้าฝั่งตรงข้ามโรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ
  5. ลานจอดระยะยาว อยู่ใกล้จุดบริการรถรับ-ส่งสาธารณะ

สำหรับข้อกำหนดค่าจอดรถสนามบินการจอดเกินชั่วโมงแบบมีเศษเป็นนาที จะคิดเป็น 1 ชั่วโมงเต็ม ถ้าหากจอดเกิด 24 ชั่วโมง จะเริ่มต้นนับชั่วโมงที่ 1 ใหม่ สำหรับผู้ที่ขับรถมารับ-ส่งผู้โดยสารขึ้นเครื่อง สามารถจอดฟรีได้ไม่เกิน 15 นาที

ค่าจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ สำหรับอาคารจอดรถและลานจอดรถกลางแจ้ง (โซน 2-7) 

จำนวนชั่วโมงค่าจอดรถยนต์ค่าจอดรถจักรยานยนต์
1 ชั่วโมง25 บาท10 บาท
2 ชั่วโมง50 บาท20 บาท
3 ชั่วโมง80 บาท30 บาท
4 ชั่วโมง110 บาท40 บาท
5 ชั่วโมง145 บาท50 บาท
6 ชั่วโมง180 บาท60 บาท
7-24 ชั่วโมง250 บาท70 บาท

ค่าจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ สำหรับลานจอดรถระยะยาว

จำนวนชั่วโมงค่าจอดรถยนต์ค่าจอดรถจักรยานยนต์
1 ชั่วโมง20 บาท10 บาท
2 ชั่วโมง40 บาท20 บาท
3 ชั่วโมง60 บาท30 บาท
4 ชั่วโมง80 บาท40 บาท
5 ชั่วโมง100 บาท50 บาท
6 ชั่วโมง120 บาท60 บาท
7-24 ชั่วโมง140 บาท70 บาท

ค่าจอดรถสนามบินสุวรรณภูมิ ค่าจอดรถโดยสารขนาดใหญ่

จำนวนชั่วโมงค่าจอดรถยนต์
1 ชั่วโมง30 บาท
2 ชั่วโมง60 บาท
3 ชั่วโมง90 บาท
4 ชั่วโมง120 บาท
5 ชั่วโมง150 บาท
6 ชั่วโมง180 บาท
7-24 ชั่วโมง210 บาท

ค่าจอดรถสนามบินดอนเมือง ปี 2566 ต้องจ่ายเท่าไร รายชั่วโมงคิดกี่บาท

อัตราค่าจอดรถสนามบินดอนเมือง เมื่อเกินชั่วโมงมีเศษเป็นนาทีจะคิดเป็น 1 ชั่วโมงเต็ม และถ้าหากจอดเกิน 24 ชั่วโมง จะคิดตามอัตรารายชั่วโมง ผู้ที่ทำบัตรจอดรถชำรุดหรือเสียหายจะถูกเก็บค่าทำบัตร 300 บาท

  • สนามบินดอนเมือง มีที่จอดรถบริเวณไหนบ้าง
  1. อาคารจอดรถยนต์ 7 ชั้น (อาคาร 2)
  2. อาคารจอดรถยนต์ภายในประเทศ (อาคารเดิม)
  3. การบริการรับจอดรถยนต์แบบ Valet Parking (ด้านหน้าอาคารผู้โดยสารอาคาร 1 และ 2)

อัตราค่าจอดรถยนต์อาคาร 2 และอาคารจอดรถยนต์ภายในประเทศ

จำนวนชั่วโมงค่าจอดรถยนต์
3 ชั่วโมง20 บาท
4 ชั่วโมง40 บาท
5 ชั่วโมง60 บาท
6 ชั่วโมง80 บาท
7 ชั่วโมง100 บาท
8-24 ชั่วโมง250 บาท

อัตราค่าจอดรถยนต์แบบ Valet Parking

จำนวนชั่วโมงค่าจอด
0-4 ชั่วโมง150 บาท
4-7 ชั่วโมง200 บาท
7-24 ชั่วโมง350 บาท
จอดเกิน 24 ชั่วโมงวันถัดไปคิดค่าบริการวันละ 250 บาท
24 มีนาคม 2023 0 comment 423 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

อัพเดตกล้องติดรถยนต์ 2023 ที่น่าใช้

by autocar 20 มีนาคม 2023
written by autocar
กล้องติดรถยนต์ 2023

อัพเดตกล้องติดรถยนต์ 2023 ที่น่าใช้

อัพเดตกล้องติดรถยนต์ 2023 ที่น่าใช้ น่าสนใจมีรุ่นไหนบ้าง ทั้งสเปก ราคา รวมถึงการเลือกซื้ออย่างไรให้เหมาะสม เนื่องจากเป็นอุปกรณ์สำคัญเอาไว้บันทึกทุกเหตุการณ์เป็นหลักฐานยามจำเป็น ระหว่างการขับขี่ตามบนท้องถนน วันนี้ ออโต้คาร์ เราได้รวบรวมกล้องติดรถยนต์ 2023 มาแนะนำกัน ส่วนจะมีรุ่นไหนน่าสนใจบ้างนั้น ไปดูกันเลย

เปิดสเปกกล้องติดรถยนต์ 2023 ที่น่าใช้งาน

  1. Xiaomi 70mai Pro Plus Dash Cam A500s

ราคาประมาณ 2,800 บาท เป็นกล้องติดรถยนต์ 2023 ขนาดกะทัดรัด เห็นได้ชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน ดีไซน์เรียบง่าย บันทึกภาพแบบ Full HD 1944P ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX335 ขนาด 5 MP ใช้รูรับแสงขนาด F1.8 มุมรับภาพมีขนาดกว้าง 140 องศา มี GPS ในตัว มีระบบ G-sensor บันทึกภาพฉุกเฉินอัตโนมัติ ยังมีระบบช่วยเหลือคนขับ

  1. Xiaomi 70mai M300 Dash Cam

กล้องติดรถยนต์ 2023 ราคาประมาณ 1,800 บาท จาก Xiaomi ราคาไม่สูงมาก ขนาดกะทัดรัด ดีไซน์แบบเรียบง่าย ไม่มีหน้าจอสำหรับดูภาพ มุมรับภาพกว้าง 140 องศา บันทึกภาพแบบ Full HD 1080P และ 1296P ชัดเจนทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยรูรับแสงขนาด F2.1 มีระบบ G-sensor บันทึกภาพฉุกเฉินอัตโนมัติ ที่สำคัญสามารถดาวน์โหลดผ่านแอปพลิเคชัน 70mai บนสมาร์ทโฟนได้

  1. PROOF X6 Series 4K Ultra HD

ราคาประมาณ 8,900 บาท เป็นกล้องติดรถยนต์ 2023 ทั้งหน้าและหลัง บันทึกภาพระดับ 4K 2160P ที่กล้องหน้าและ Full HD 1080P ที่กล้องหลัง รูรับแสงกว้าง F1.6 กล้องหน้าใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX415 และกล้องหลังใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX 307 มุมมองรับภาพกว้าง 165 และ 150 องศา หน้าจอแสดงผลขนาด 2.45 นิ้ว มี GPS มีระบบ Night Vision มี G-Sensor หยุดภาพอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

  1. DDPai Z50 GPS

ราคาประมาณ 4,500 – 6,500 บาท ที่มาพร้อมกับคุณภาพการบันทึกภาพในระดับ 4K Ultra HD และปรับเลือกความละเอียดได้ 3 ระดับ ได้แก่ 2160P, 1600P และ1080P ตัวกล้องมีขนาดเล็ก มีทั้งกล้องหน้าและกล้องหลัง ใช้เซ็นเซอร์รับภาพ Sony IMX415 รูรับแสงกว้าง F1.75 มีเทคโนโลยี NightVIS มีระบบช่วยเหลือการขับขี่ เตือนการชนด้านหน้า และ G-Sensor บันทึกวิดีโอฉุกเฉิน และมีให้เลือก 2 รุ่น คือ มี GPS กับ ไม่มี GPS

  1. Anytek th a100+

ราคาประมาณ 1,990 บาท เป็นกล้องที่สามารถบันทึกภาพได้ในระดับ Full HD 1080P ใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX322 มุมภาพกว้าง 170 องศา มีระบบความคมชัด HDR และระบบปรับแสงสว่างอัตโนมัติ กล้องติดรถยนต์ 2023 เมนูภาษาไทย มีระบบ G-Sensor ด้วย

  1. ASTON SMART LIGHT

ราคาประมาณ 1,190 บาท เป็นกล้องติดรถยนต์ 2023 แบบกระจกมองหลัง ผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบา บันทึกภาพในระดับ Full HD 1080P มุมรับภาพกว้าง 130 องศา มีระบบปรับแสงสว่างอัตโนมัติ WDR เก็บภาพชัดในเวลากลางคืน เมนูภาษาไทย มีฟังก์ชันตรวจจับการเคลื่อนไหวและบันทึกภาพทันที เมื่อมีวัตถุเคลื่อนผ่านด้านหน้า และบันทึกภาพอัตโนมัติเมื่อเกิดแรงกระแทกแม้จอดรถดับเครื่องอยู่ 

สรุป

ปัจจุบันกล้องติดรถยนต์ 2023 นั้นมีให้เลือกมากมาย และมีฟังก์ชันที่หลากหลาย แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็ต้องมาพร้อมกับราคาที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นควรจะต้องเลือกการใช้งานได้อย่างเหมาะสม

20 มีนาคม 2023 0 comment 348 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

ไขทุกข้อสงสัย คะแนนใบขับขี่คืออะไร 

by autocar 10 มีนาคม 2023
written by autocar
คะแนนใบขับขี่

ไขทุกข้อสงสัย คะแนนใบขับขี่คืออะไร 

ไขทุกข้อสงสัย คะแนนใบขับขี่คืออะไร เมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เริ่มใช้ระบบการตัดคะแนนใบขับขี่หรือตัดคะแนนความประพฤติ มีผลบังคับใช้ ผู้ขับขี่รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือยานพาหนะอื่น ๆ ที่เข้าข่ายใน 20 ฐานความผิด ดังนั้นบทความนี้ออโต้คาร์เราจะมานำเสนอรายละเอียดต่าง ๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับคะแนนใบขับขี่

คะแนนใบขับขี่คืออะไร

เพื่อหวังให้ช่วยลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงวินัยจราจรที่ดีขึ้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติเริ่มใช้ระบบการตัดคะแนนใบขับขี่หรือตัดคะแนนความประพฤติใน 20 ฐานความผิดของผู้ขับขี่ทุกประเภท โดยผู้ที่มีใบขับขี่หรือใบอนุญาตขับรถจะมีคะแนนเริ่มต้นกันคนละ 12 คะแนน

เมื่อได้กระทำการผิดกฎจราจรก็จะถูกหักคะแนนไปตามระดับของการกระทำความผิด รวมไปถึงการค้างชำระใบสั่งก็จะถูกหักคะแนนด้วยเช่นกัน ส่วนคะแนนใบขับขี่ที่ถูกหักไปนั้นจะปรับคืนให้เมื่อครบ 1 ปี จากการกระทำความผิดนั้น ๆ หรือเข้ารับการอบรมกับขนส่งฯ

โดยระบบตัดคะแนนใบขับขี่ หรือตัดคะแนนความประพฤติจะกำหนดให้ผู้ที่มีใบขับขี่ ใบอนุญาตขับรถ มีคนละ 12 คะแนนเต็ม เมื่อถูกตัดคะแนนไม่ว่าจะ 1 2 3 และ 4 คะแนน ตามเกณฑ์การทำความผิด หรือโดนหักจนเหลือ 0 คะแนน (พักใช้ใบขับขี่) คะแนนที่ถูกหักไปจะได้รับคืนกลับมาโดยอัตโนมัติเมื่อครบ 1 ปี จากวันที่กระทำความผิด แต่ใครที่ไม่อยากรอถึง 1 ปี ก็สามารถได้คะแนนคืนง่าย ๆ เพียงเข้าอบรม และทำการทดสอบกับกรมการขนส่งทางบก

เกณฑ์การตัดคะแนนใบขับขี่เป็นอย่างไร

  • สำหรับการหัก1 คะแนน

การใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ, ไม่สวมหมวกกันน็อก, ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย, ขับรถด้วยความเร็วเกินกำหนด, ขับรถบนทางเท้า, ไม่หยุดให้คนข้ามทางม้าลาย, ไม่หลบรถฉุกเฉิน, ขับรถประมาทน่าหวาดเสียว, ขับรถไม่ติดป้ายทะเบียนหรือเปลี่ยนแปลง ปิดบัง, ไม่ติดภาษี

  • สำหรับการหัก2 คะแนน

การขับรถฝ่าไฟแดง, ขับรถย้อนศร, ขับรถในระหว่างโดนพักใช้หรือเพิกถอนใบขับขี่

  • สำหรับการหัก3 คะแนน

การขับรถในขณะหย่อนความสามารถ, ขับผิดวิสัยคนขับรถธรรมดา, ขับรถชนแล้วหนี

  • สำหรับการหัก4 คะแนน

การเมาแล้วขับ, ขับรถในขณะเสพยาเสพติด, แข่งรถในทางโดยไม่ได้รับอนุญาต, ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่น

ทั้งหมดนี้เป็นเกณฑ์การตัดคะแนนยังรวมไปถึงกรณีไม่ชำระค่าปรับตามใบสั่งในเวลาที่กำหนด เช่น ใบสั่งที่ได้รับจากการฝ่าฝืนเครื่องหมายจราจรในทาง, จอดในที่ห้ามจอด, ไม่แสดงใบอนุญาตขับขี่ขณะขับรถ เป็นต้น

สรุป

เมื่อผู้ที่มีใบขับขี่หรือใบอนุญาตขับรถที่ถูกตัดคะแนนจนเหลือ 0 คะแนน จะถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ หรือห้ามขับรถทุกประเภทเป็นเวลา 90 วัน และหากฝ่าฝืนไปขับรถในขณะถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับขี่เป็นครั้งที่ 3 ภายใน 3 ปี อาจจะถูกสั่งพักใช้มากกว่า 90 วัน และครั้งสุดท้ายเป็นครั้งที่ 4 อาจถูกพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่

อ่านข่าว กีฬา บันเทิง ได้ที่ Lottosod888

10 มีนาคม 2023 0 comment 276 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

เปิดยี่ห้อยางรถยนต์ 2023 มีรุ่นไหนน่าใช้บ้าง

by autocar 8 มีนาคม 2023
written by autocar
ยางรถยนต์ 2023

เปิดยี่ห้อยางรถยนต์ 2023 มีรุ่นไหนน่าใช้บ้าง

เปิดยี่ห้อยางรถยนต์ 2023 มีรุ่นไหนน่าใช้บ้าง ยางรถยนต์เป็นส่วนสำคัญที่ผู้ใช้รถยนต์ไม่ควรมองข้าม ดังนั้นวันนี้เราออโต้คาร์มีมาอัปเดตพร้อมข้อควรรู้ และวิธีเลือกซื้อให้เหมาะกับการใช้งาน อย่ารอช้าตามมาดูกันเลย

ยางรถยนต์ 2023 พร้อมสเปก และราคายางรถยนต์รุ่นล่าสุด

  1. Michelin
  • Michelin Energy XM2 + แบบประหยัดน้ำมัน และยึดเกาะพื้นถนนได้เต็มที่ มีระยะเบรกสั้น เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดเล็กและรถอีโคคาร์ ราคาเส้นละ 1,900-3,800 บาท
  • Michelin Primacy 4 แบบนุ่มเงียบ ลดเสียงรบกวน และเพิ่มการยึดเกาะ เหมาะสำหรับรถยนต์ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ รวมถึงรถอเนกประสงค์ เป็นต้น ราคาเส้นละ 2,850-7,800 บาท
  • Michelin Pilot Sport 4 แบบสปอร์ตการยึดเกาะที่ดี ระยะเบรกสั้นลง ลายดอกยางรองรับการขับขี่แบบสปอร์ต เหมาะสำหรับรถสปอร์ตหรือรถยนต์ที่ใช้ความเร็วสูง ราคาเส้นละ 3,750-10,400 บาท
  • Michelin e Primacy ยางรถยนต์ 2023 สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดที่ต้องการความนุ่มเงียบ ช่วยลดการใช้พลังงานจึงเพิ่มระยะการใช้งานแบตเตอรี่ได้ ราคาเส้นละ 5,800-8,900 บาท
  • Michelin Pilot Sport EV ยางรถยนต์ 2023 ออกแบบมาสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ยึดเกาะขณะเข้าโค้งหรือใช้ความเร็วสูง และช่วยลดการใช้งานพลังงานไฟฟ้า เสียงรบกวนน้อย ราคาเส้นละ 12,200-17,700 บาท
  1. Yokohama
  • Yokohama BluEarth ยางรถยนต์ 2023 ที่เน้นความนุ่มสบาย แบ่งเป็น 3 ซีรีส์ เริ่มต้นจาก BluEarth-ES, BluEath-GT สำหรับรถยนต์นั่งขนาดเล็กถึงขนาดใหญ่ และ BluEarth-XT สำหรับรถ Crossover SUV ล้อ 16-19 นิ้ว ราคาเส้นละ 2,300-10,000 บาท
  • Yokohama Advan DB ประเภทนุ่มและเงียบที่สุด ดอกยางถูกออกแบบมาให้มีร่องยางลดเสียงรบกวน เนื้อยางนุ่ม จึงให้ความเงียบได้ยาวนานแม้ผ่านการใช้งานไปสักระยะ ราคาเส้นละ 3,800-12,000 บาท
  • Yokohama Geolandar ยางรถยนต์ 2023 สำหรับรถ Crossover SUV รถกระบะ และรถ SUV ที่เน้นการลุยแบบจริงจัง แบ่งเป็นหลายซีรีส์ โดยกลุ่มเน้นใช้งาน ราคาเส้นละ 3,600-15,200 บาท
  • Yokohama Advan Sport แบบสปอร์ตเน้นการขับขี่มากกว่าความนุ่มสบาย การออกแบบให้ยึดเกาะได้ดีทั้งถนนเปียกและแห้ง ราคาเส้นละ 7,300-18,400 บาท
  1. Bridgestone
  • Bridgestone Ecopia ยางรถยนต์ 2023 แบบประหยัดน้ำมัน ช่วยลดแรงต้านการหมุนเพื่อให้ประหยัดพลังงาน และมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น มีขนาดให้เลือกทั้งรถเล็ก กลาง และใหญ่ ราคาเส้นละ 2,400-4,900 บาท
  • Bridgestone Turanza แบบนุ่มเงียบ หน้ายางช่วยกระจายแรงกด ลดแรงกระแทก ดอกยางออกแบบให้ลดเสียงรบกวน มีให้เลือกสำหรับรถยนต์นั่งขนาดคอมแพกต์ไปจนถึงขนาดใหญ่ ราคาเส้นละ 3,000-5,600 บาท
  • Bridgestone Potenza ยางรถยนต์ 2023 ออกแบบมาเพื่อการยึดเกาะและเข้าโค้งที่ดี เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตเป็นหลัก มีขนาดให้เลือกทั้งรถยนต์นั่งขนาดเล็ก คอมแพกต์ กลาง และขนาดใหญ่ ราคาเส้นละ 3,000-5,600 บาท
  • Bridgestone Alenza สำหรับรถอเนกประสงค์ ช่วยเพิ่มแรงกดบนหน้ายางให้สัมผัสพื้นเต็มที่เพื่อให้ยึดเกาะถนน และลดระยะเบรกลดลง ราคาเส้นละ 3,000-18,900 บาท
  • Bridgestone Dueler ยางรถยนต์ 2023 แบบ All Terrain ยึดเกาะถนนได้หลายสภาพพื้นผิวทั้งทางเรียบ ขรุขระ และมีความทนทานต่อการฉีกขาดจากการขูดจากเศษหิน เศษแก้ว หรือของแหลมคมได้มากกว่าปกติ สำหรับรถกระบะ ราคาเส้นละ 3,500-8,900 บาท
  1. Dunlop
  • Dunlop Ensave แบบประหยัดน้ำมัน สำหรับรถยนยต์นั่งขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ช่วยลดแรงต้านการหมุนของล้อช่วยให้ประหยัด เสริมการยึดเกาะและลดเสียงรบกวน ราคาเส้นละ 1,600-3,500 บาท
  • Dunlop SP SPORT ยางรถยนต์ 2023 แบบนุ่มเงียบ ออกแบบรูปทรงแก้มยางและหน้าสัมผัสยางช่วยให้ดูดซับแรงกระแทกกับพิ้นผิวถนน ลดอาการสั่นสะเทือนเพื่อให้ขับขี่ได้นุ่มนวลขึ้น มีขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ราคาเส้นละ 1,500-5,500 บาท
  • Dunlop Direzza แบบสปอร์ตที่รองรับการใช้ความเร็วสูง ดอกยางออกแบบมาช่วยลดอาการเหินน้ำ และเสียงรบกวนที่เกิดขึ้น ยึดเกาะได้ดีโดยเฉพาะบนถนนเปียก และช่วยลดระยะการเบรกให้สั้นลง ราคาเส้นละ 1,800-4,600 บาท
  1. Goodyear
  • Goodyear Assurance Duraplus 2 แบบเน้นความทนทานใช้งานได้นานขึ้น เสียงรบกวนน้อยลง ดอกยางจึงสึกช้าใช้งานได้มากขึ้น ราคาเส้นละ 1,800-2,800 บาท
  • Goodyear Assurance Comforttred แบบนุ่มเงียบลดเสียงลดกวน ดูดซับแรงสั่นสะเทือนขณะยางสัมผัสถนนหรือเกิดการกระแทกช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น ราคาเริ่มต้นเส้นละ 4,100 บาท
  • Goodyear Eagle F1 ยางรถยนต์ 2023 เป็นกลุ่มสปอร์ตเน้นการขับขี่ทางสปอร์ตจัดบนถนนแห้ง การควบคุมบนถนนเปียก ความสบาย และการลดเสียงรบกวนอาจไม่ดีนัก ราคาเส้นละ 2,300-16,000 บาท
  • Goodyear Assurance Maxguard SUV ให้ทั้งความนุ่มนวล เสียงรบกวน การบังคับควบคุมรวมถึงการเบรกบนถนนเปียกและแห้ง ยังเน้นความทนทานลดการสึกหรอให้ช้าลง ราคาเส้นละ 3,000-5,600 บาท

Goodyear Cargo Max ยางรถยนต์ 2023 สำหรับกระบะและรถตู้ สามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกได้เยอะ เหมาะกับทุกสภาพพื้นผิวถนน พร้อมร่องยางที่รีดน้ำออกจากหน้ายางได้เร็ว ช่วยให้มั่นใจบนถนนเปียกมากขึ้นราคาเส้นละ 2,600-3,500 บาท

8 มีนาคม 2023 0 comment 395 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

เผยอันดับ มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลก ปี 2023

by autocar 6 มีนาคม 2023
written by autocar
มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลก

เผยอันดับ มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลก ปี 2023

เผยอันดับ มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลก ปี 2023 เพราะซูเปอร์ไบค์ เป็นรถที่มีสมรรถนะสูง มีทั้งความเร็ว ความแรง ที่สำคัญเป็นรถที่มีราคาแพง ดังนั้นในวันนี้บทความดี ๆ จากออโต้คาร์เราจึงได้รวบรวมมอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลก จะมียี่ห้อ และมีรุ่นไหนกันบ้าง มาดูกันเลย

มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลก และดีที่สุด

  1. LIGHTNING LS-218

ราคาประมาณ 1,274,000 บาท เป็นมอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลกไฟฟ้าที่มีความเร็ว มาพร้อมกับขุมพลังมอเตอร์ขนาด 150 KW และระบายความร้อนด้วยน้ำให้ขุมพลัง 201 แรงม้า ที่ 10,500 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 228 นิวตันเมตร ทำงานพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบ DIRECT DRIVE MOTOR ที่ไม่มีเกียร์ อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง ภายใน 2.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 351 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  1. BMW S1000RR

ราคาประมาณ 1,020,000 บาท ซูเปอร์ไบค์ที่ได้สร้างชื่อเสียงในเรื่องของความเร็วอีกหนึ่งคัน มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลกมีจุดเด่นที่เครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาจากเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 999 ซีซี อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง ภายใน 3.1 วินาที และความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 303 กิโลเมตร/ชั่วโมง และมีให้เลือก 2 สี 2 สไตล์ด้วยกัน คือ สีแดง Racing Red Uni และสี Light White Uni/Racing

  1. KAWASAKI NINJA ZX-14

ราคาประมาณ 939,000 บาท เป็นซูเปอร์ไบค์ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 สูบ คู่ขนาน 1,441 ซีซี เครื่องยนต์เทอร์โบชาร์จ 998C แต่ได้คุณภาพที่สูงเลยทีเดียว อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง ภายใน 2.59 วินาที และความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 335 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบระบายความร้อนด้วยน้ำ มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลกคันนี้สตาร์ทไฟฟ้า ระบบเกียร์ธรรมดาแบบ 6 สปีด

  1. SUZUKI HAYABUSA

ราคาประมาณ 850,000 บาท มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลกรุ่นนี้เป็นซูเปอร์ไบค์ราคาดี จึงเรียกได้ว่าเป็นมากกว่าจักรยานยนต์สปอร์ตไบค์ ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ จึงส่งผลให้ SUZUKI HAYABUSA คันนี้มีค่าสัมประสิทธิ์การต้านลมที่ต่ำที่สุด ผู้ขับขี่สามารถควบคุมเสถียรภาพและความสะดวกสบายได้ง่าย เครื่องยนต์ขนาด 1,299 ซีซี อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง ภายใน 2.6 วินาที และความเร็วสูงสุดจะอยู่ที่ 312 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  1. KAWASAKI NINJA H2R

ราคาประมาณ 1,956,845 บาท ถือเป็นซูเปอร์ไบค์ที่เร็วที่สุดในโลก มีสถิติความเร็ว ถึง 400 กิโลเมตร/ชั่วโมง และก็ยังได้สร้างรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอีกรุ่นหนึ่ง เพื่อให้สามารถขับขี่ใช้งานบนท้องถนนได้ มอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลกที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 998 ซีซี อัตราเร่ง 0-60 ไมล์/ชั่วโมง ภายใน 2.6 วินาที ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 337.06 กิโลเมตร/ชั่วโมง

สรุป

ปัจจุบันมอเตอร์ไซค์ที่แรงที่สุดในโลกถือว่าได้รับความนิยมเอามาก ๆ ใครสายความเร็วจะต้องถูกใจ อย่าลืมมาติดตามเรื่องราวดี ๆ เกี่ยวกับยานยนตร์กันในบทความถัดไปนะครับ

อ่านข่าว กีฬา บันเทิง ได้ที่ Lottosod888

6 มีนาคม 2023 0 comment 364 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
บทความแนะนำ

อัปเดต รถที่แรงที่สุดในโลก ปี 2023

by autocar 4 มีนาคม 2023
written by autocar
รถที่แรงที่สุดในโลก

อัปเดต รถที่แรงที่สุดในโลก ปี 2023

อัปเดต รถที่แรงที่สุดในโลก ปี 2023 เพราะบนโลกใบนี้มีการผลิตรถยนต์หลากหลายประเภท โดยรถแต่ละประเภทก็มีความแตกต่างและหลากหลายที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นผู้ขับขี่จึงควรเลือกรถยนต์ที่ตอบโจทย์สำหรับการใช้งานของตัวเองมากที่สุด วันนี้ออโต้คาร์เราได้รวบรวมและอัพเดตรถที่แรงที่สุดในโลกมาให้ทุกท่านแล้ว

เปิดรถที่แรงที่สุดในโลก ที่ต้องรู้จัก

  1. KOENIGSEGG JESKO ABSOLUT

เป็นหนึ่งในรถไฮเปอร์คาร์ที่แรงที่สุดในโลก ราคาประมาณ 350,000,000 บาท จากค่ายรถยนต์สัญชาติสวีเดน สำหรับการดีไซน์ของตัวรถที่แรงที่สุดในโลกยังคงเน้นความหรูหรา ติดตั้งเครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร เทอร์โบคู่ 4 วาล์ว/สูบ FLAT-PLANE CRANKSHAFT, DOHC ให้กำลังสูงสุด 1,600 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 1,500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 รอบ/นาที

  1. BUGATTI BOLIDE

อีกหนึ่งไฮเปอร์คาร์ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้ที่หลงใหลในรถแรงและความเร็ว ราคาประมาณ 193,500,000 บาท เป็นรุ่นที่ผลิตขึ้นเพื่อการศึกษาวิจัยเท่านั้น ใช้เครื่องยนต์ W16 สูบ วางกลางลำ ความจุ 8.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบ 4 ลูก กำลัง 1,850 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 188.6 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ 7 จังหวะ ขับเคลื่อน 4 ล้อ ทั้งหมดนี้จึงเป็นรถที่แรงที่สุดในโลก

  1. BUGATTI CHIRON SUPER SPORT 300+

ไฮเปอร์คาร์ที่มีราคาประมาณ 134,000,000 บาท ที่ผลิตขึ้นเพียงแค่ 30 คัน หนึ่งในรถที่แรงที่สุดในโลก จุดเด่นคือตัวถัง มีช่วงท้ายที่ยาวดูแปลกตา มีความแตกต่างจาก BUGATTI CHIRON รุ่นดั้งเดิม ดีไซน์แนวหลังคาแบบลู่ลม ตัวถังเป็นสีดำและส้ม ให้กำลังสูงสุด 1,600 แรงม้า ความเร็วสูงสุดที่ 490 กิโลเมตร/ชั่วโมง

  1. HENNESSEY VENOM F5

โดยรถไฮเปอร์คาร์รุ่นนี้มีราคาประมาณ 63,000,000 บาท ภายในห้องโดยสารยังคงคอนเซปต์สไตล์รถ F1 ไว้อยู่ ผลิตขึ้นเพียงแค่ 24 คัน ใช้เครื่องยนต์ที่ให้กำลังถึง 1,817 แรงม้า และความเร็วสูงสุดที่ 498 – 500 กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมต้องเป็นรถที่แรงที่สุดในโลก ปี 2023

  1. DEVEL SIXTEEN

รถที่แรงที่สุดในโลกคันสุกท้ายมีราคาประมาณ 49,060,000 บาท ผลที่ได้คือความเร็วสูงสุดคือ 480 – 515 กิโลเมตร/ชั่วโมง รถไฮเปอร์คาร์รุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ V16 ขนาด 12.3 ลิตร เทอร์โบชาร์จ ให้กำลัง 5,007 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 5,094 นิวตัน-เมตร และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 515 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดังนั้นจึงเป็น

หนึ่งในรถแรงที่น่าจับตามอง 

สรุป

ในยุคปัจจุบันนี้การพัฒนาเทคโนโลยีด้านการผลิตรถยนต์ ได้มีความก้าวหน้าเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในสมรรถนะความแรงและความเร็ว เพื่อจะได้ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ วันนี้เราได้รวบรวมรถที่แรงที่สุดในโลกมาฝากทุกคน สนใจเรื่องราวดี ๆ แบบนี้กันได้ในบทความถัดไปนะครับ

อ่านข่าว กีฬา บันเทิง ได้ที่ Lottosod888

4 มีนาคม 2023 0 comment 289 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
ข่าวอัพเดตบทความแนะนำ

รถครอบครัวตอบโจทย์การใช้งานที่คุ้มค่า

by autocar 13 ธันวาคม 2022
written by autocar
รถครอบครัว

รถครอบครัวตอบโจทย์การใช้งานที่คุ้มค่า

รถครอบครัวเกิดขึ้นเมื่อการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปและความต้องการก็ย่อมเปลี่ยนแปลง แน่นอนว่าความต้องการใช้งานรถยนต์ที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เพื่อให้เหมาะสมต่อการใช้งานแต่ละประเภท ดังนั้นในปัจจุบันค่ายรถยนต์ชั้นนำได้พัฒนารถยนต์ เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่อเนกประสงค์ จนกลายมาเป็นรถครอบครัว SUV, PPV, Crossover และ MPV ไปดูกันเลยว่าทั้ง 4 ประเภทนี้ เป็นรถครอบครัวตอบโจทย์อย่างไร

  1. รถครอบครัวกับการใช้งานที่คุ้มค่า
    1. รถครอบครัวประเภท PPV
รถครอบครัว


สำหรับ PPV ย่อมาจาก Pick-Up Passenger Vehicle หมายถึง “รถอเนกประสงค์ที่มีพื้นฐานมาจากรถกระบะ” PPV เป็นชื่อที่ถูกเรียกเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งรถประเภทนี้ถูกออกแบบให้รองรับผู้โดยสารได้ 7 ที่นั่ง ยกตัวอย่างเช่น Isuzu MU-X หรือ Toyota Fortuner คือการนำรถกระบะ Toyota Hilux Revo และ Isuzu D-Max มาดัดแปลง หรือ Mitsubishi Pajero Sport มีพื้นฐานมาจาก Mitsubishi Triton และเพื่อให้ตอบโจทย์เพิ่มความนุ่มนวล นั่งสบาย จึงได้มีการปรับเปลี่ยนในส่วนของช่วงล่างใหม่ ให้เป็นระบบช่วงล่างแบบคอยล์สปริง แทนแหนบซ้อนกันแบบหลายแผ่น ทำให้ไม่แข็งกระด้างแบบรถกระบะ แต่ก็ยังสามารถลุยได้ ในเส้นทางที่สมบุกสมบันแบบเดียวกับรถกระบะได้เช่นกัน

  1. รถครอบครัวประเภท SUV
รถครอบครัว


สำหรับ SUV ย่อมาจากคำว่า Sport Utility Vehicle หมายถึง รถที่มีความอเนกประสงค์ ประโยชน์ใช้สอยมากกว่ารถยนต์ทั่ว ๆ ไป แต่ยังคงความสปอร์ตและความสวยงาม โดยสิ่งที่แตกต่างที่เพิ่มเข้ามาคือ ความสมบุกสมบันที่ลุยได้มากกว่ารถยนต์ทั่วไปหรือสามารถบรรทุกสัมภาระในการเดินทางได้มากขึ้น รวมไปถึงเทคโนโลยี ยังคงอำนวยความสะดวกสบายที่ครบครัน โดยส่วนใหญ่แล้ว SUV จะมาในรูปแบบ 5 – 7 ที่นั่ง ตัวอย่างรถ SUV ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Mazda CX-5, Honda CR-V, Subaru XV และ Nissan X-Trail 

  1. รถครอบครัวประเภท Crossover
รถครอบครัว


สำหรับ Crossover มาจากคำว่า Crossover Utility Vehicle โดยรถใช้โครงสร้างตัวถังแบบ Unibody หรือแชสซี และมีตัวถังเป็นชิ้นเดียวกันหรืออีกอย่างคือ นำพื้นฐานมาจากรถเก๋งแล้วมายกสูงทำให้มีความคล่องตัวกว่ารถเก๋ง ด้วยความสูงที่กำลังพอดี มีรูปลักษณ์สปอร์ต โฉบเฉี่ยวและเก็บสิ่งของได้มากกว่า ทำให้รถมีความเป็นอเนกประสงค์ รองรับผู้โดยสารได้ 5 ที่นั่ง ที่สำคัญคือ ราคาที่ถูกกว่า SUV ตัวอย่างรถในกลุ่มนี้คือ Mercedes-Benz GLA, Honda HR-V, Mazda CX-3, Toyota CH-R 

  1. รถครอบครัวประเภท MPV
รถครอบครัว


สำหรับ MPV ย่อมาจากคำว่า Multi Purpose Vehicle หมายถึง รถที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้หลายที่นั่ง โดยรถประเภท MPV จะมีลักษณะคล้ายกับรถตู้ (Passenger Van) และมีความอเนกประสงค์ เพียบพร้อมด้วยฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวก แต่ให้ความนิ่มนวลเทียบได้กับรถยนต์นั่งหรู โดยหากจะพูดถึงรถ MPV ที่เป็นที่นิยมในบ้านเราคือ Toyota Alphard, Toyota Innova, Toyota Sienta และ Hyundi H-1 เป็นต้น

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นคือ ความแตกต่างของรถครอบครัวทั้ง 4 ประเภท ที่ล้วนมีข้อดีและจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับความต้องการและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันของแต่ละบุคคล บทความจาก หวยสด หวยออนไลน์อันดับหนึ่ง

รถครอบครัว
13 ธันวาคม 2022 0 comment 301 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
ข่าวอัพเดตบทความแนะนำ

การเติมลมยางรถยนต์เพื่อความปลอดภัยไม่ควรมองข้าม

by autocar 11 ธันวาคม 2022
written by autocar
เติมลมยาง

การเติมลมยางรถยนต์เพื่อความปลอดภัยไม่ควรมองข้าม

สำหรับการเติมยางรถยนต์เพื่อความปลอดภัยนั้น ผู้ขับขี่ควรจะต้องคำนึงถึง ว่ารถยนต์ที่เราใช้งานอยู่ทุกวันควรเติมลมยางกี่ PSI (ปอนด์ต่อนิ้ว) ถึงจะเหมาะสม หากปล่อยให้แรงดันในยางมากหรือน้อยจนเกินไป อาจส่งผลต่อความปลอดภัยของการเดินทางหรือแม้แต่ยางระเบิดได้ โดยปกติแล้วการเติมยางรถยนต์ระดับใดถึงจะเหมาะสมกับ มีเทคนิคง่าย ๆ ในการเติมลมยางรถยนต์มาแนะนำและการเติมลมยางรถยนต์ที่หลายคนควรรู้

  1. เติมลมยางรถยนต์อย่างไรให้ปลอดภัย
เติมลมยาง

การเติมลมของแต่ล่ะประเภทของรถนั้นต้องขึ้นอยู่กับน้ำหนักบรรทุกและความเร็วการขับขี่ โดยมีมาตรฐานเบื้องต้นดังนั้น

สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ความเหมาะสมควรเติมลมยางประมาณ 25-32 PSI

สำหรับรถยนต์ขนาดกลาง ความเหมาะสมควรเติมลมยางประมาณ 30-35 PSI

สำหรับรถกระบะ ความเหมาะสมควรเติมลมยางประมาณ 38-40 PSI

เติมลมยาง
  1. ควรเช็คลมยางรถยนต์บ่อยแค่ไหน

เราควรเช็คลมยางอย่างน้อยเดือนละ 1 – 2 ครั้ง โดยค่าเฉลี่ยแล้วลมยางจะลดปริมาณลงประมาณ 2 – 3 PSI ในหนึ่งเดือน เราควรจะต้องเติมลมยางรถยนต์ในปริมาณที่เหมาะสมและได้รับการตรวจเช็คอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดการเสื่อมสภาพของยาง เพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่และช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย มีรายละเอียดดังนี้

1. สำหรับรถยนต์บรรทุกของที่มีน้ำหนักมากหรือมีผู้โดยสารมาก ควรเติมลมยางเพิ่มอีก 2 – 3 PSI

2. สำหรับการเติมลมยางมากกว่าปริมาณที่กำหนดไว้ นอกจากจะทำให้ดอกยางสึกเร็ว เสี่ยงต่อการลื่นไถลได้ง่าย ความนุ่มนวลในการขับขี่ลดลงและอายุการใช้งานของยางลดลงด้วย

3. การเติมลมยางนั้นต้องขณะที่ยางเย็น เพราะการเติมลมยางขณะที่ยางมีอุณหภูมิสูงอาจให้เป็นผลไม่แม่นยำ เนื่องจากความร้อนจะทำให้อากาศขยายตัว หากคุณต้องการเติมลมยางขณะที่ยางยังร้อนอยู่ ควรเติมลมยางเพิ่มขึ้น 2 PSI เพื่อชดเชยความดันอากาศที่ขยายตัวภายในบาง

เติมลมยาง
  1. วิธีเช็คว่าลมยางอ่อนหรือลมยางแข็งเป็นอย่างไร
    1. ลมยางแข็งเกินไป

สำหรับลมยางแข็งเกินไปการออกตัวรถจะทำได้ดีกว่าลมยางอ่อนก็จริง แต่ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนบนทางโค้งจะลดลง สำหรับการเบรกกะทันหันอาจเพิ่มระยะทางมากขึ้น การเติมลมยางที่แข็งเกินไปจะทำให้รถเกิดแรงสั่นสะเทือนระหว่างขับขี่ หากขับขี่ด้วยความเร็วสูงตกหลุมหรือเกิดแรงกระแทกรุนแรงขณะขับขี่อาจทำให้ยางระเบิดได้

เติมลมยาง
  1. ลมยางอ่อนเกินไป

สำหรับลมยางอ่อนเกินไปทำให้รู้สึกถึงความนุ่มนวลของช่วงล่าง ขับรถแล้วรู้สึกรถไม่ค่อยเกาะถนนเท่าที่ควร นั้นคือเครื่องยนต์ทำงานหนักกว่าปกติและสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น ยิ่งถ้าขับรถด้วยความเร็วจะมีอาการโยน ไม่นิ่งหรือเจอกับพื้นถนนไม่เรียบก็จะรู้สึกโยนมากขึ้น หากรถของคุณลมยางอ่อนมาก ๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดยางระเบิด เพราะแก้มยางบิดตัวจนเกิดความร้อนทำให้แรงดันในลมยางขยายตัวมากขึ้น

การเติมลมยางรถยนต์เป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างมากในการดูแลรักษารถในเบื้องต้น เพื่อให้รถพร้อมใช้งานอยู่เสมอและปลอดภัยในทุกเส้นทาง อย่าลืมหมั่นตรวจเช็คลมยางเป็นประจำเพื่อความอุ่นใจในการขับขี่ บทความจาก หวยสดพลัส หวยออนไลน์

เติมลมยาง
11 ธันวาคม 2022 0 comment 291 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
ข่าวอัพเดตบทความแนะนำ

รู้ไหมว่าโครงรถยนต์ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

by autocar 7 ธันวาคม 2022
written by autocar
โครงรถ

รู้ไหมว่าโครงรถยนต์ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

โครงรถยนต์ที่ใช้เป็นรากฐานสำหรับการสร้างรถยนต์ โดยจะต้องมีความแข็งแรงเพื่อรองรับในส่วนของตัวถัง จะประกอบไปด้วย เครื่องยนต์ กระปุกเกียร์ เพลา เพลาขับ สปริง ล้อ และยาง โดยจะต้องมีการยึดติดกับโครงรถ มาดูรายละเอียดดังนี้

  1. โครงสร้างรถยนต์สามารถแบ่งตามลักษณะออกเป็น 2 ประเภทได้ ดังนี้
โครงรถ
  1. 1. โครงรถ (Fram)

โครงสร้างรถยนต์คือการนำเอาเหล็กรางตัวยู 2 อันมาเชื่อมประกอบกันให้เกิดเป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเป็นรูปกล่อง อาจจะมีการใช้หมุดย้ำเพิ่มและมีเหล็กขวาง ใช้เป็นวัสดุแบบเดียวกันในการเชื่อมติดหรือยึดติดได้ เพื่อให้โครงรถเกิดความแข็งแรงยิ่งขึ้น ส่วนข้างของโครงรถจะมีแผ่นเหล็กยื่นออกมาเพื่อใช้ยึดให้ติดกับส่วนตัวถัง บริเวณโครงรถด้านหน้าทั้งหมดจะแคบกว่าด้านหลัง เพื่อให้การหันเลี้ยวได้ง่าย ส่วนด้านหลังที่ต้องกว้างกว่าเพื่อที่จะรองรับตัวถังได้ดี

  1. ชนิดโครงรถ (Type of frame) มีดังนี้

แบบออฟเซท โครงสร้างรถยนต์นี้จะมีลักษณะเป็นขั้นบันได ไม่มีเครื่องยึดที่ศูนย์กลาง โดยจะมีเหล็กขวางเพิ่มขึ้นเพื่อให้ช่วยยึดเครื่องทำให้โครงของรถแข็งแรง ที่สำคัญจะมีแผ่นเหล็กเชื่อมยื่นออกไปทางด้านข้าง เพื่อใช้ยึดกับตัวถังของรถยนต์

โครงรถ

แบบออกเซทและตัวเอ็กซ์ โครงสร้างรถยนต์นี้จะเป็นแบบผสมระหว่างแบบออฟเซท์กับตัวเอ็กซ์ ลักษณะจะคล้ายกับการนำเอาโครงรถแบบออฟเซทมาใช้ บริเวณตรงกลางใช้เหล็กเชื่อมในลักษณะแบบตัวเอ็กซ์ ส่งผลให้โครงรถเช่นนี้แข็งแรงขึ้น

แบบขั้นบันได โครงสร้างรถยนต์นี้จะมีลักษณะคล้ายรูปสี่เหลี่ยม จะไม่มีเครื่องยึดที่ศูนย์กลาง แต่จะมีเหล็กขวางเพิ่มขึ้นแทน ให้ใช้ยึดเหนี่ยวที่จะทำให้โครงของรถแข็งแรง

แบบตัวเอ็กซ์ โครงสร้างรถยนต์นี้จะมีท่อกลวงอยู่บริเวณกึ่งกลางของโครงรถ สำหรับโครงของรถจะใช้เหล็กตัวยูในการเชื่อมประกบให้เป็นรูปกล่อง บริเวณด้านหน้าจะมีเหล็กขวางสำหรับช่วยยึดติดกับโครงรถเอาไว้เพื่อยกระบบรองรับ ทำให้ส่วนหลังจะสูงเพื่อให้เหมาะกับส่วนท้ายของเพลา

โครงรถ
  1. 2. ตัวถัง (Auto Body)

สำหรับตัวถังคือการนำเอาส่วนประกอบที่เป็นชิ้นส่วนโลหะที่ถูกออกแบบขึ้นมา มาประกอบรวมกันจนกลายเป็นอันหนึ่งเดียวกัน โดยใช้วิธีการเชื่อมหรือหมุดย้ำเพื่อให้มีความแข็งแรงยิ่งขึ้น 

สำหรับรถยนต์ที่มีโครงสร้างของตัวถังและโครงรถรวมเป็นโครงเดียวกันนั้น คือการนำเอาชิ้นส่วนโลหะทั้งหมดมาเชื่อมยืดติดกันให้เป็นตัวถังขึ้น ทำให้ทั้งโครงตัวถังมีความแข็งแรง สำหรับในส่วนประกอบของพื้นใต้ท้องรถและรางด้านข้าง รวมไปถึงเครื่องรองรับที่อยู่ข้างล่างของตัวถังยึดรวมกัน เพื่อที่จะใช้รองรับเครื่องยนต์ กำลังส่งและระบบของการรองรับน้ำหนัก

สำหรับรางทางด้านข้างคือ รางของขอบประตูที่มีเหล็กขวางจำนวนมากเป็นลักษณะแบบรูปกล่อง ซึ่งจะใช้ช่วยกระจายน้ำหนักไปยังโครงสร้างของตัวถังและพื้น สำหรับในส่วนโครงสร้างของส่วนด้านหน้าก็มีไว้เพื่อรองรับเครื่องยนต์และล้อหน้า ส่วนโครงสร้างทางด้านหลังใช้เพื่อรองรับส่วนของล้อหลังและบริเวณเหนือทางด้านข้างขึ้นไป บทความจาก ล็อตโต้สด Lottosod888 เว็บแทงหวยออนไลน์

โครงรถ
7 ธันวาคม 2022 0 comment 304 views
0 FacebookTwitterPinterestEmail
  • 1
  • 2
  • 3
  • …
  • 6

ติดตามเรา

Facebook Twitter Instagram

หมวดหมู่

  • การดูแลรถ (6)
  • การเลือกซื้อรถ (14)
  • ข่าวอัพเดต (108)
  • บทความแนะนำ (55)
  • รถมือสอง (3)
  • รีวิวรถ (12)
  • ไม่มีหมวดหมู่ (6)
  • Facebook
  • Twitter
  • Instagram

@2022 - All Right Reserved. Designed and Developed by ออโต้คาร์.com