ไม่มีหมวดหมู่

Nissan Ariya เอสยูวีไฟฟ้าของนิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีรูปร่างความหล่อนั้นโดดเด่นด้วย กระจังหน้ารูปตัววีทรงโล่หรือ shield ไฟหน้า LED โคมเรียว แผงไฟท้าย LED ดีไซน์ยาว หลังคาที่ลาดลงคล้ายรถคูเป้ พร้อมล้อที่มีให้เลือกตั้งแต่ขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 235/55R19 และขนาด 20 นิ้ว พร้อมยาง 255/45R20 ภาพรวมนั้นเน้นความเรียบง่าย มีเสน่ห์ ในสไตล์โลกแห่งอนาคตแบบญี่ปุ่นที่อยู่เหนือกาลเวลา 

การออกแบบภายในของ Nissan Ariya

สำหรับแบบภายในของ Nissan Ariya ที่ได้สร้างบรรยากาศเสมือนห้องรับรอง เบาะนั่งแบบ Zero Gravity สร้างบรรยากาศอันอบอุ่นให้แก่ผู้ขับขี่และผู้ร่วมเดินทาง โดยจะมีมาตรวัดดิจิทัลและจอสัมผัสขนาดใหญ่ที่อยู่ในชุดเดียวกัน อินเทอร์เฟซใหม่ระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ทำให้ลูกค้าสามารถใช้ภาษาธรรมชาติ เพื่อปรับการตั้งค่าต่าง ๆ ของรถยนต์ได้ มีอุปกรณ์ต่าง ๆ แบบไร้สายมีความแปลกใหม่ชวนน่าตื่นเต้น มีเทคโนโลยีช่วยเหลืออย่าง Amazon Alexa เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดความซับซ้อน และจัดการเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตของพวกเขาได้ง่ายขึ้น และความจุสัมภาระมากถึง 408 กับ 466 ลิตร

Nissan Ariya รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ e-4ORCE

Nissan Ariya รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ e-4ORCE คือเทคโนโลยีการควบคุมล้อทั้งสี่ขั้นสูงจาก Nissan ที่จัดการการส่งกำลังไปที่ล้อรวมถึงให้การเบรกได้อย่างแม่นยำ เพื่อการขับที่ราบรื่นและมั่นคง ระบบนี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้ขับ โดยการช่วยให้ขับไปตามทิศทางที่ต้องการบนพื้นผิวถนนเกือบทุกรูปแบบ รวมทั้งถนนที่เปียกและเต็มไปด้วยหิมะ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีการหรือรูปแบบการขับ

สำหรับ Nissan Ariya รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อให้ความสมดุลในประสิทธิภาพที่ทรงพลัง มาพร้อมรองรับการขับขี่ในทุกสภาพอากาศ มอเตอร์ไฟฟ้าคู่ทำให้การขับขี่มีความสมดุล และมั่นคงด้วยพลังระดับรถสปอร์ตในพริบตา ผู้ขับขี่จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น และมีเครียดลดลงด้วยระบบขับขี่อัตโนมัติ ProPILOT 2.0 ช่วยเหลือผู้ขับขี่ และระบบช่วยจอดผ่านรีโมต และเทคโนโลยีคันแร่งอัจฉริยะ e-Pedal มาพร้อมกับความปลอดภัยแบบ 360 องศา มีทั้งเทคโนโลยีกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง เทคโนโลยีช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้าอัจฉริยะ เทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัจฉริยะ และเทคโนโลยีเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติขณะถอย 

การเดินทางของ Nissan Ariya รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ e-4ORCE จากขั้วโลกเหนือสู่ขั้วโลกใต้เป็นครั้งแรกของโลก

นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้ประกาศความร่วมมือกับคริส แรมซีย์ นักผจญภัยชาวอังกฤษ ในภารกิจผจญภัยขับรถยนต์ไฟฟ้า 100% การเดินทางที่กล้าหาญในครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนมีนาคม 2023 แรมซีย์ และทีมจะออกเดินทางด้วย Nissan Ariya e-4ORCE เป็นระยะทางกว่า 27,000 กิโลเมตรผ่านหลายภูมิภาคและทวีปต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าจะมีช่วงอุณหภูมิที่แตกต่างกันตั้งแต่ -30 ถึง 30 องศาเซลเซียส แน่นอนว่าเส้นทางทั้งความทรหด ความรุนแรง ความยากลำบาก และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การผจญภัยสุดท้าทายที่จะสร้างความตื่นเต้นให้กับทุกคนนี้ช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์ระยะยาว เพื่อจะมาพัฒนาศักยภาพการขับเคลื่อนด้วยการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก โดยวิสัยทัศน์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งมอบรถยนต์และเทคโนโลยีที่ยกระดับการเดินทางและชีวิตผู้คนในสังคม Nissan Ariya e-4ORCE ของ Nissan Ariya รุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ e-4ORCE จะถูกปรับแต่งเสริมความแข็งแกร่งบึกบึน เพื่อรับมือกับสภาพอากาศที่หนาวเหน็บในแถบอาร์กติกและแอนตาร์กติก รวมถึงล้อ ยาง และระบบกันสะเทือนที่ได้รับการอัพเกรดให้เหมาะกับการยึดเกาะบนพื้นผิวที่หลากหลาย ในขณะเดียวกันก็จะมี Nissan Ariya e-4ORCE อีกหนึ่งคันแบบไม่ปรับแต่งร่วมเดินทางไปสนับสนุนทั่วทวีปอเมริกา บทความดีๆจากล็อตโต้สด

ส่อง 5 เทรนด์เทคโนโลยีสำคัญสุดล้ำในยานยนต์ ปี 2565 

ในศตวรรษ 21 นี้ เป็นยุคของเทคโนโลยียานยนต์ครองโลก ฉะนั้นผู้ผลิตรถยนต์นอกจากจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาเครื่องยนต์แล้วยังต้องเน้นการพัฒนาซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้นไปด้วย เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นตัวสร้างความแตกต่างในรถยนต์ได้ และซอฟต์แวร์จะกลายปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตหลักของกำไรให้กับผู้ผลิต ดังนั้นวันนี้การ์ทเนอร์ ได้เปิด 5 แนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2565 ที่ผู้ผลิตควรพิจารณาเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนผ่านของซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และด้านดิจิทัลที่เกิดขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย

เปิด 5 แนวโน้มเทคโนโลยีสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ในปี 2565 

1. ผู้ผลิตยานยนต์จะทบทวนแนวทางการจัดหาชิ้นส่วน (Hardware)

ผู้ผลิตยานยนต์กำลังพิจารณากลยุทธ์จัดเก็บสินค้าคงคลังระยะยาว เพื่อให้มีสินค้าสำรองในช่วงภาวะการขาดแคลนชิปต่าง ๆ รวมถึงการพิจารณาพัฒนาชิปของตนเองควบคู่ไปด้วย ส่วนการ์ทเนอร์คาดว่า 50% ของ 10 บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์ชั้นนำ จะผลิตชิปของตนเอง และสร้างกลยุทธ์รวมถึงความสัมพันธ์ระยะยาวร่วมกับผู้ผลิตชิปต่าง ๆ โดยตรง ในปี พ.ศ. 2568 

2. บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในระบบนิเวศยานยนต์ 

ปีนี้ บริษัทดิจิทัลยักษ์ใหญ่ อาทิ Amazon Web Services (AWS), Google, Alibaba หรือ Tencent ได้เริ่มขยายธุรกิจในด้านเทคโนโลยีเกี่ยวกับยานยนต์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเปิดเป็นบริการเชื่อมต่อเทคโนโลยีเข้ากับรถยนต์ในรูปแบบใหม่ ๆ มากขึ้น และการ์ทเนอร์คาดว่า ในปี พ.ศ.2571 70% ของยานยนต์ที่ขายออกไปจะใช้ระบบปฏิบัติการ Android ในรถยนต์ เพิ่มขึ้นแน่นอน

3. โมเดลข้อมูลและความร่วมมือแบบเปิด

ปีที่แล้วบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งได้สร้างระบบปฏิบัติการแบบโอเพนซอร์สและรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) แบบเปิด ซึ่งแนวทางนี้ได้กระตุ้นให้เกิดรูปแบบความร่วมมือใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์เพิ่มมากขึ้นในปีนี้ โดยระบุว่า เป้าหมายของบริษัท คือ เพื่อนำข้อมูลมาสร้างหรือบูรณาการระบบนิเวศที่จะช่วยให้เข้าถึงข้อมูลหลากหลายมากขึ้น รวมทั้งเพื่อพัฒนาฟีเจอร์หรือบริการดิจิทัลที่น่าสนใจยิ่งขึ้น

4. ผู้ผลิตรถยนต์เพิ่มระบบอัปเดตซอฟต์แวร์แบบ Over-The-Air (OTA) ที่เป็นช่องทางสร้างรายได้หลักบนดิจิทัล

ก่อนหน้านี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดซอฟต์แวร์สำหรับยานยนต์แบบ Over-The-Air (OTA) เมื่อผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ได้อัปเดตฮาร์ดแวร์ของรถยนต์เพื่อเปิดรับการอัปเดตซอฟต์แวร์ ซึ่งภายในปี พ.ศ. 2566 50% ของบริษัทผลิตรถยนต์ชั้นนำ จะนำเสนอความสามารถในการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่สามารถซื้อได้หลังการจำหน่ายรถยนต์

5. ยานยนต์ไร้คนขับ กับกฎระเบียบเพิ่มเติมและอุปสรรคเชิงพาณิชย์

ด้านเทคโนโลยีการตรวจจับ (Sensing Technology) มีการพัฒนาและขยายขอบเขตการดำเนินงานไปยังเมืองหรือพื้นที่ใหม่ ๆ มากขึ้น และได้เริ่มเปิดตัวรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติในระดับ 3 และกำลังดำเนินการติดตั้งใช้งานรถบรรทุกไร้คนขับในระดับ 4 รวมถึง ระบบการให้บริการรถรับส่งแบบ Taxi (Robotaxis) ด้วย ทั้งยังต้องเน้นการทดสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของเทคโนโลยีอัตโนมัตินั้นยังคงต้องใช้เวลา ทำให้การผลิตเชิงพานิชย์เป็นไปได้ช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง 

จะเห็นได้ว่า ระบบยานยนต์และเทคโนโลยีกำลังพัฒนาควบคู่กันไปอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมการคิดค้นระบบใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริการในยุคดิจิทัลได้อย่างรอบด้านมากยิ่งขึ้น บทความดีๆ จากล็อตโต้สด

6 พฤติกรรมที่อาจจะทำร้ายรถยนต์ มาเช็คกัน!!

รู้ไหมว่าสำหรับการขับรถยนต์ที่ไม่ถูกต้องนั้น ไม่เพียงลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ยังเป็นการรักษาอายุการใช้งานให้ยาวนาน รถยนต์ทำงานอย่างสมบูรณ์เต็มประสิทธิภาพ ไม่เกิดการสึกหรอสูงกว่าปกติและก่อปัญหาจุกจิกกวนใจตามมาในระยะยาว ดังนั้น ออโต้คาร์ จะพามาเช็คว่าเรามีพฤติกรรมอันตรายที่ทำร้ายรถยนต์โดยไม่รู้ตัวไหม เพื่อที่จะได้รีบปรับปรุงแก้ไขได้ ไปดูกันเลย

1. 6 พฤติกรรมอันตรายที่ทำร้ายรถยนต์โดยไม่รู้ตัว

1. ลมยางรถยนต์ การเดินทางทั่วไปควรเติมลมยางตามมาตรฐาน ที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนดไว้ ถ้าต้องเดินทางไกลให้เพิ่มแรงดันลมยางสูงขึ้นอีก 2 – 3 ปอนด์ ลมยางอ่อนกว่ามาตรฐานจะทำให้ยางด้านนอกสึกมากกว่าด้านในและเสี่ยงเกิดยางระเบิดมากกว่า

2. ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรเช็คอุปกรณ์ใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ทุกชนิดว่าปิดการใช้งานหรือไม่ เพื่อไม่ให้ดึงกำลังไฟในการสตาร์ท และที่สำคัญสตาร์ทรถแล้วก็ไม่ควรเหยียบคันเร่งออกรถไปทันที อุ่นเครื่องยนต์ประมาณ 2 – 3 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์ร้อนมากพอลดความหนืดของน้ำมันเครื่องสามารถไหลเข้าไปหล่อลื่นส่วนต่าง ๆ ช่วยลดความสึกหรอ ส่งผลเครื่องยนต์มีอายุใช้งานนานขึ้น ตัวอย่างเช่น ไม่ควรเปิดแอร์ทิ้งไว้ เพราะการสตาร์ทเครื่องยนต์จะทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์เริ่มทำงานทันที ทำให้มีการกระชากเป็นผลให้อายุการใช้งานของคอมเพรสเซอร์แอร์สั้นลง ที่สำคัญการปิดคอมเพรสเซอร์ก่อนดับเครื่องยนต์ อย่างน้อย 5 – 10 นาที จะไล่ความชื้นในตู้แอร์ ไม่เป็นแหล่งสะสมฝุ่น สามารถยืดอายุตู้แอร์และลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์จากความชื้นอีกด้วย

3. พฤติกรรมความเคยชินกับการวางเท้าไว้บนแป้นคลัทช์ตลอดเวลา ส่งผลให้ผ้าคลัทช์และฟลายวีลสึกหรอเร็วกว่าปกติ 

4. ขณะรถติดไฟแดง สำหรับเกียร์ธรรมดาควรปลดเกียร์ว่างและเหยียบเบรกป้องกันรถไหล ส่วนผู้ขับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติควรปลดเกียร์ว่างและดึงเบรกมือ ไม่ควรเหยียบเบรกและคาเกียร์ไว้ที่ตำแหน่ง

5. เมื่อขับผ่านลูกระนาด ฝาท่อ คอสะพาน และขับผ่านเส้นทางขรุขระโดยไม่ชะลอความเร็ว จะส่งผลโดยตรงต่อช่วงล่างต่าง ๆ ทั้งส่วนโช้คอัพ สปริง ลูกหมาก ปีกนกและแร็คพวงมาลัย ทำให้ต้องรับแรงกระแทกมาก อายุการใช้งานของอุปกรณ์ก็จะสั้นลง

6. สำหรับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติ ควรเลี่ยงการจอดรถบนทางลาดชันเป็นประจำ เพราะจะทำให้สลักล็อคเกียร์รับภาระน้ำหนักรถมาก เมื่อดึงคันเกียร์จากตำแหน่ง P มาเป็นเกียร์ R จะมีเสียงดัง เพราะตัวล็อคเกียร์ขัดรุนแรงและเข้าเกียร์ยากด้วย ถ้าจำเป็นต้องจอดรถบนทางลาดชันให้จอดรถจนนิ่งสนิทเรียบร้อย แล้วดึงเบรกมือ ขึ้นจนสุดก่อนจะปล่อยเบรกเท้า เมื่อแน่ใจว่ารถไม่ไหลแล้วจึงเลื่อนเกียร์ไป N แล้วใส่เกียร์ P เป็นขั้นตอนบำรุงรักษาเกียร์แบบง่าย ๆ ที่ควรฝึกให้เคยชิน บทความดีๆ จาก ล็อตโต้สด

ทั้งหมดนี้เป็นพฤติกรรมอันตราย ที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในการถนอมดูแลรถยนต์อย่างถูกวิธี เพื่อยืดอายุการใช้งานไปอีก

7 ประเทศที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้านวัตกรรมเปลี่ยนโลกมากที่สุด

ชีวิตมนุษย์ที่กำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีใหม่ที่ รถยนต์ไฟฟ้านวัตกรรมที่ตอบโจทย์เทรนด์รักษ์โลก จากการรายงานของสำนักงานพลังงานสากล หรือ International Energy Agency (EIA) คาดการณ์ว่า จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทุกชนิด จะเพิ่มเป็น 145 ล้านคันทั่วโลก ภายในปี 2030 และถ้าหากรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ เร่งดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้านพลังงานและสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นผู้ผลิตรถยนต์หลายค่ายจึงกำลังมองหาวิธีการผลิตรถ EV ให้ได้มากขึ้น บทความนี้ ออโต้คาร์ จะมาเสนอว่ามีประเทศไหนอะไรบ้างที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก ไปอ่านกันเลยค่ะ

1. 7 ประเทศที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุด มีดังนี้
   1. 1. จีน
2. ประเทศจีนมีความชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2552 ในตอนนั้นรถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่มากนัก แต่ประเทศจีนใช้เงินมากกว่า 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลงทุนในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตรถ EV ในประเทศ

2. 2. สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกามีแผนผลักดันนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าคือ เรื่องสิ่งแวดล้อม เพราะต้องการทำตามเป้าหมาย Zero-emission หรือนโยบายปลอดมลพิษ ตั้งเป้าปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ โดยตั้งเป้าหมายให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจำนวน 40 – 50% จะต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030

3. 3. นอร์เวย์

ประทศนอร์เวย์มีเป้าหมายและนโยบายชัดเจนคือ ต้องการเปลี่ยนแปลงให้รถที่ใช้ภายในประเทศมาเป็นรถพลังงานไฟฟ้าให้ได้ทั้งหมดภายในปี 2025 สำหรับการซื้อรถยังได้สิทธิพิเศษจากรัฐมากกว่าอีกต่างหาก เนื่องจากรัฐบาลยังทำการ ละเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของรถยนต์ไฟฟ้า จาก 25% ลดลงเหลือ 0% รวมถึง ลดภาษีเงินได้ให้ค่ายรถยนต์ที่นำเข้านวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า ลง 40% เพื่อจูงใจให้ค่ายรถขายรถยนต์ไฟฟ้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นและวางขายในราคาที่ถูกลง เป็นการเรียกความจูงใจให้คนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันแบบเต็มกำลัง

4. 4. สวีเดน

เป้าหมายของประเทศสวีเดนคือประสบความสำเร็จในการลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคการขนส่งลง 70% ภายในปี 2030 รวมถึงทำให้การปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 และมีถนนชาร์จไฟรถได้

5. 5. ไอซ์แลนด์

ประเทศไอซ์แลนด์ได้ประกาศบังคับนโยบายห้ามใช้รถยนต์น้ำมัน จะเริ่มต้นในปี 2030 ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการจัดการภาวะโลกร้อน รัฐบาลวางเป้าว่าภายในปี 2030 จะต้องมีนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า 950,000 คันวิ่งอยู่บนท้องถนน รวมถึงการออกมาตรการพิเศษบังคับว่า ภายในปี 2025 สถานที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยและมีที่จอดรถเกิน 10 ช่อง จะต้องมีแท่นชาร์จไฟอย่างน้อยหนึ่งแท่น ยังมีแผนให้สิทธิประโยชน์ด้านภาษีกับผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าและมีแผนที่จะลงทุนติดตั้งแท่นชาร์จไฟให้ครอบคลุมทั่วประเทศ

6. 6. เนเธอร์แลนด์

ประเทศเนเธอร์แลนด์มีปัจจัยด้านนโยบายทางภาษีที่ต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไป การเพิ่มการให้บริการของสถานีประจุพลังงาน ทำให้เกิดการเข้าถึงและมีความคล่องตัวในการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

7. 7. อันดอร์ร่า

ประเทศอันดอร์ร่าที่มีประชากรไม่ถึง 80,000 คน โดยกุญแจสำคัญที่ทำให้คนในอันดอร์ร่าหันมาใช้รถพลังไฟฟ้าโดยเฉพาะรถ EV คือ การที่รัฐบาลให้สิทธิ์พิเศษของคนที่เปลี่ยนมาใช้นวัตกรรมรถ EV เช่น ส่วนลดพิเศษเมื่อซื้อรถ สิทธิ์การขับในช่องเดินรถสาธารณะ (Bus Lane) สิทธิ์ขับผ่านอุโมงค์ d-Envalira ซึ่งเป็นทางเชื่อมสู่ประเทศฝรั่งเศสฟรี รวมถึงส่วนลดพิเศษค่าไฟในการชาร์จแบตเตอรี่ บทความดีๆ จาก ล็อตโต้สด

บทบาทและการเติบโตของแอปการขับขี่ในปี 2022 เป็นอย่างไร 

การขับขี่ในปี 2022 อนาคตของการขับขี่อยู่ในมือของรถยนต์ไร้คนขับ แอปเหล่านี้ถูกตั้งค่าให้เป็นแอปขับรถที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2022

แอปการขับขี่ที่ได้รับคะแนนสูงสุดในปี 2022 จะเป็นแอปที่เข้าใจความต้องการแบบเรียลไทม์ของผู้ขับขี่ มีการออกแบบที่ชาญฉลาด และสามารถบอกทิศทางได้อย่างแม่นยำ

คนทั่วไปใช้เวลาอยู่บนรถประมาณ 10 ชั่วโมงต่อวัน ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน รถยนต์มีความซับซ้อนมากขึ้น แอปการขับขี่ที่ดีที่สุดของปี 2022 จะทำหน้าที่เป็นตัวช่วยสำหรับคนขับในช่วงเวลาที่พวกเขาต้องการมากที่สุด วันนี้ ออโต้คาร์ จะพามาดู

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกเกิดความโกลาหลเมื่อรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองกลายเป็นหัวข้อข่าวในสื่อเป็นครั้งแรก และมันสมเหตุสมผลแล้ว ถ้าไม่จำเป็นต้องใช้รถจะมีประโยชน์อะไร สิ่งนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป เนื่องจากผู้คนจำนวนมากขึ้นให้การศึกษาตนเองเกี่ยวกับประโยชน์ของรถยนต์ไร้คนขับและการใช้แอปการขับขี่เนื่องจากรถยนต์ที่ขับด้วยตนเองนั้นปลอดภัยกว่าคนขับที่เป็นมนุษย์ เนื่องจากสามารถขับได้ระมัดระวังและตอบสนองได้เร็วกว่าโดยมีโอกาสเสียสมาธิน้อยกว่า สิ่งนี้ทำให้พวกเขาดีขึ้นสำหรับผู้ขับขี่บนท้องถนน รถยนต์ที่ขับด้วยตนเองยังให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ขับผู้สูงอายุหรือผู้พิการที่ต้องการความช่วยเหลือในการใช้งานยานพาหนะ สามารถใช้ในกรณีที่ที่จอดรถมีจำกัด เช่น บริเวณใจกลางเมืองหรือถนนแคบ หรือช่วยขับรถยนต์เข้าไปจอดในที่สาธารณะที่มีความแคบและมีการแออัดมากมายของรถคันอื่นๆ อีกทั้งแอปการขับขับขี่ยังสามารถช่วยเหลือผู้ขับได้ในเรื่องของการหาพิกัดหรือที่จอดรถยนต์ที่ไม่แออัดได้

แอปการขับขี่ที่ดีต้องเป็นอย่างไร ? 

แอปการขับขี่ที่ในปี 2022 จะต้องเป็นนวัตกรรม ปลอดภัย  ใช้งานง่ายเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน เสถียร และราคาไม่แพง ซึ่งในปีนี้ บริษัทต่างๆ กำลังใช้แนวทางใหม่ในการออกแบบ ผลิต และขายรถยนต์ ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถคาดหวังได้ว่าการคมนาคมขนส่งจะมีผลกระทบมากขึ้นไปอีกในอนาคตของเรา ในเรื่องของการพัฒนาแอปการขับขี่ก็เช่นกัน 

อนาคตของการขับขี่คือยานยนต์ไร้คนขับและการใช้แอปขับขี่

 มีเหตุผลหลายประการสำหรับเรื่องนี้ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัย หากไม่มีคนขับ รถยนต์สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดอุบัติเหตุน้อยลง เราได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นในการบินที่นักบินอัตโนมัติสามารถป้องกันการชนได้สำเร็จด้วยการรักษาเครื่องบินให้อยู่ในระยะห่างที่ปลอดภัยก่อนที่นักบินของมนุษย์จะตอบสนอง และเช่นเดียวกันจะเกิดขึ้นในการขับขี่รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยตนเองเมื่อพร้อมให้บริการในปี 2022